Brand Story

แตกต่างแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน

นีท-อมลานันท์ สังสิทธิวงศ์ และอิ้ว-วรรณิต บุญเจริญทวีสุข สองสาว เพื่อนซี้ที่มีความฝันอยากทำแบรนด์ด้วยกัน จึงเริ่มต้นคิดค้นหาแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัว ถึงแม้นีทและอิ้วจะเรียบจบกันมาคนละสาย คนนึงจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ส่วนอีกคนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความคิดเรื่องการทำธุรกิจของทั้งสองคนแตกต่างกัน เพราะทั้งคู่ต่างอยากสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ชีวิตลูกค้าให้ได้มากที่สุดเหมือนกัน

จุดเริ่มต้นแบรนด์มาจากการ “อยากให้ของขวัญพี่สาวเป็นชุดนอนที่ดีที่สุด”

ระหว่างที่นีทและอิ้วกำลังคิดว่าอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไรนั้น ก็ใกล้จะถึงวันเกิดของพี่สาวนีทพอดี ซึ่งพี่สาวเคยพูดไว้ว่าอยากได้ชุดนอน นีทเลยพยายามหาชุดนอนที่ดีที่สุดมาให้พี่สาว แต่ก็พบว่ามันยังไม่มีแบรนด์ไหนถูกใจเลย ก็เลยคิดอยากจะทำชุดนอนเอง ที่เริ่มจากหนึ่งใหม่หมดเลย และสามารถเคลมได้ว่าตัวเองเป็นคนคิด ในขณะที่อิ้วก็มีประสบการณ์คล้ายๆกันเกี่ยวกับเรื่องชุดนอน คือปกติใส่ชุดนอนแบรนด์ต่างประเทศราคาจะค่อนข้างแพง จริงๆอยากอุดหนุนคนไทยด้วยกัน แต่พอค้นหาดูก็พบว่ายังไม่ค่อยมีชุดนอนแบรนด์ไทยแบรนด์ไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ จึงคิดอยากผลิตสินค้าที่ราคาไม่แพง แต่ได้คุณภาพใกล้เคียงกับของต่างประเทศ เมื่อทั้งคู่เห็นโอกาสและช่องวางทางธุรกิจนี้ จึงไม่รอช้าที่จะริเริ่ม

ฟังเสียงคนใกล้ตัว คือกุญแจสำคัญ

อิ้วและนีทเริ่มทำรีเสิร์ชด้วยตัวเอง โดยการสอบถามจากเพื่อนๆและคนใกล้ตัว ว่า Pain Point ของพวกเขาเหล่านั้นคืออะไร แต่ละคนอยากได้ชุดนอนแบบไหน ความน่าสนใจจากการทำรีเสิร์ชนี้คือ มีคนบอกว่า “อยากได้ชุดนอนที่ไม่ต้องใส่บรา” เพียงแค่คำตอบประโยคเดียวก็ทำให้ทั้งสองปิ๊งไอเดีย ว่าอยากจะทำ “ชุดนอนโนบรา” ขึ้นมาทันที เพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าผู้หญิงทุกคนต่างก็มี Pain Point ในเรื่องนี้ไม่ต่างกันนัก บางคนถึงกับต้องยอมใส่บรานอน แม้จะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว เพราะต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวที่มีผู้ชายเยอะ รู้สึกอาย บางคนอยู่ในห้องนอนก็ไม่ใส่บรา แต่พอต้องออกนอกห้องนอนลงไปกินข้าว หรือลงมารับของรับพัสดุ ก็ต้องลุกไปใส่บราหรือหาเสื้อคลุมมาทับเพื่อให้ไม่โป๊ จะดีแค่ไหนถ้ามีชุดนอนที่สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้โดยไม่ต้องลุกไปใส่บราและไม่โป๊ในเวลาเดียวกัน

ต่อยอดจากโจทย์ที่ว่าอยากให้มี “ชุดนอนโนบรา” เกิดขึ้นบนโลก

นีทและอิ้วทดลองมาเกือบทุกวิธี ทั้งเพิ่มฟองน้ำในชุดนอน หรือแถมที่ปิดจุกให้ใส่กับชุดนอน แต่ก็ยังไม่เวิร์ค ไม่ว่ายังไงก็รู้สึกว่ามันยังไม่สบายตัวที่สุดอยู่ดี เพราะมันยังมีอะไรมากดทับตรงหน้าอก ด้วยความที่ตั้งใจไว้ว่าไม่อยากให้ประสบการณ์การโนบรานอนของทุกคนเปลี่ยนไป อยากให้ได้รับสัมผัสความโล่งสบายแบบเดิม แต่สบายใจมากขึ้น นีทและอิ้วจึงคิดค้นต่อไปเรื่อยๆ

จนวันนึงอิ้วแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังว่า เคยใส่ชุดนอนบางตัวแล้วรู้สึกสบายใจ แต่มันสบายใจอยู่แค่ข้างเดียว คือข้างที่มีกระเป๋าเสื้อบังหน้าอก ทั้งคู่เลยค่อยๆเริ่มจากไอเดียนั้น คือทำชุดนอนที่มีกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างไปเลย และใช้ผ้าซับเพิ่มความหนาของกระเป๋าด้านนอกปิดตรงหน้าอกเอา ด้านในผู้สวมใส่จะยังคงรู้สึกเหมือนใส่ชุดนอนปกติเลย
  
แต่เนื่องด้วยสรีระหน้าอกของผู้หญิงแต่ละคนไม่เหมือนกัน สูง ต่ำ ห่าง มีหลากหลายมากๆ อิ้วและนีทเลยต้องทดลองอยู่นาน ทำออกมาหลายชุดเพื่อให้คนรอบๆตัวลองใส่ นำฟีดแบคมาปรับแก้จนกว่าจะครอบคลุมสรีระของผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ จนได้ออกมาเป็นเทคนิค​​โนบราอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ คือ มีกระเป๋าเสื้อ 2 ข้าง หนา 3 ชั้น

“ใส่ใจ” กับทุกรายละเอียด

เมื่อได้ชุดนอนที่มีฟีเจอร์โนบราเป็นฟังก์ชั่นหลักตอบโจทย์ผู้หญิงทุกคนแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ทั้งคู่อยากทำให้แบรนด์ Slip to Sleep กลายเป็นชุดนอนที่ใส่สบายที่สุดด้วย ต้องทั้ง “สบายตา สบายกาย และสบายใจ” จึงเลือกใช้เนื้อผ้าชนิดใหม่สำหรับตลาดชุดนอนเมืองไทย คือผ้า “คอตตอนซาติน” ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ที่เป็นฝ้ายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทอด้วยเทคนิคซาติน ได้ผ้านุ่มเด้งเนื้อเงางาม ระบายอากาศได้ดี ไม่เก็บเหงื่อ ไม่ลู่เข้าตัว แถมนิ่มกว่าคอตตอนทั่วไป พร้อมหลับสบายยิ่งขึ้นด้วยทฤษฎีสีบำบัด เพราะเชื่อว่าสีของชุดนอนย่อมมีผลต่ออารมณ์ผู้สวมใส่ หากเป็นสีโทนเย็นที่สบายตา เห็นแล้วผ่อนคลาย ก็จะช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้น

ให้คุณค่ากับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความใส่ใจฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าและคนรอบข้างมาโดยตลอด ทำให้สินค้าของ Slip to Sleep ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ทำให้มีการพัฒนาแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการขยับขยายไปยังตลาดต่างประเทศด้วย อีกทั้งยังได้รับการจดสิทธิบัตรผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องชุดนอนโนบรา กระเป๋าสองข้างแบบเต็มตัว นับเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของคนไทย จนอาจเรียกได้ว่ากลายเป็นแบรนด์ชุดนอนโนบราอันดับต้นๆที่ผู้หญิงหลายๆคนจะนึกถึงเลยทีเดียว